CIMBT ประเมินผลกระทบโอมิครอนต่อเศรษฐกิจ​-จีดีพีไทย

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

 

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า หลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก​ พร้อมความกังวลว่าจะแพร่ได้เร็วกว่าสายพันธุ์​เดลตาที่มีความรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา​ ยิ่งกดดันบรรยากาศการท่องเที่ยว​ การใช้จ่าย​ และการลงทุน​ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจ​โลก​ โดยขณะนี้สำนักวิจัยฯ ยังไม่ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของ​เศรษฐกิจ​ไทย​จากที่เคยให้ไว้ที่​ 3.8% เมื่อปลายเดือนพฤศจิ​กายน แต่มองว่าการระบาดของสายพันธุ์​ใหม่​นี้นับเป็นความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐ​กิจ​ไทย​ ส่วนจะกระทบมากน้อยเพียงใด และกระทบภาคส่วนใดทางเศรษฐกิจ​ได้ประเมิน​การเติบโตของ GDP​ ไทยออกเป็น​ 3 แนวทาง ได้แก่

กรณีโอมิครอนไม่กระทบ GDP​ ไทย​โตได้​ 3.8% ตามคาด หากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันไม่เร่งขึ้น​ ยอดผู้ติดเชื้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้​ ขณะที่หน่วยงานด้านสาธารณสุข​ยังสามารถรับมือกับสถานการณ์​ได้จนไม่ต้องมีมาตรการจำกัดกิจกรรม​ทาง​เศรษฐกิจ​เพียงแต่การบริโภคสินค้าและบริการอาจชะลอในระยะสั้น​ โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหาร​ โรงแรม​ ขนส่งคน​ อาหาร​ และเครื่องดื่ม​​ แต่น่าจะฟื้นตัวได้ภายใน 1-2 เดือน​ คล้ายการระบาดรอบ 2 ที่ผ่านมา นอกจากนี้​ อาจเห็นการเปลี่ยนความคิด จากไม่สามารถป้องกันการระบาดได้ เป็นการต้องอยู่ร่วมกับโควิด​จึงไม่มีการปิดเมือง​ หรือจำกัดการเดินทางและการใช้จ่ายใดๆ​ และต้องติดตามว่าสายพันธุ์​โอมิครอนอาจไม่ได้ส่งผลรุนแรงต่อสุขภาพ​เท่าสายพันธุ์​เดลตา​ เพียงแต่ต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ​

กรณีไม่ล็อกดาวน์แต่กระทบภาคบริการไตรมาสแรก​ GDP​ ไทยทั้งปีโตเฉียด 3% แม้ไม่มีการออกมาตรการจำกัดกิจกรรม​ทาง​เศรษฐกิจ​อย่างเข้มงวด​ แต่การที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว​ จะกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภค​ และจะยิ่งส่งผลให้การบริโภคชะลอตัว​ลง ​อย่างไรก็ดี​ สถานการณ์​น่าจะคล้ายช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนที่การใช้จ่ายแผ่วลง​ แต่เศรษฐกิจ​ไทย​ยังขยายตัวจากไตรมาสก่อนได้​ ด้วยแรงขับเคลื่อนจากภาคการผลิตและการส่งออก​ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบนอกเหนือจากภาคบริการและการท่องเที่ยว​เดินทางแล้ว​ กลุ่มการบริโภคที่ต้องอาศัยความเชื่อมั่นผู้บริโภคและแนวโน้มเสถียรภาพการจ้างงาน ​เช่น​ รถยนต์​ เสื้อผ้า​และเฟอร์นิเจอร์จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย

และกรณีโอมิครอนลามภาคการผลิต​ ห่วงโซ่อุปทานชะงักงัน ​GDP​ ไทยเสี่ยงต่ำ 3% โดยหากปัญหาการระบาดลากยาวและรุนแรงจนส่งผลให้คนงานล้มป่วยหรือต้องมีมาตรการจำกัดจำนวนคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม​ เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานจนกำลังการผลิตลดลง​ กระทบภาคการลงทุน​ อีกทั้งปัญหานี้กระจายไปยังประเทศต่างๆ​ จนโรงงานผลิตวัตถุดิบ​หรือชิ้นส่วนสำคัญต้องหยุดชะงัก​ มีผลให้ห่วงโซ่อุปทานในการผลิตสำคัญๆ​ ต้องพลอยชะงักงันไปด้วย​ เช่น​ รถยนต์​ รถจักรยานยนต์​ อุปกรณ์​อิเล็กทรอนิกส์​ และอาหารแปรรูป​ เช่น ไก่แปรรูป​ และอาหารทะเลแช่แข็ง​ ซึ่งจะกระทบการส่งออกของไทยอีกทอดหนึ่ง​แม้กำลังซื้อในต่างประเทศจะไม่ทรุดตัวก็ตาม​ เนื่องจากขาดแคลนสินค้าส่งออก​ อีกทั้งปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่สูงยังกดดันการค้าโลกต่อเนื่อง​ได้​ นอกจากภาคการผลิตแล้ว​ ภาคการก่อสร้างก็เสี่ยงชะลอตัว​จากปัญหาขาดแคลนแรงงาน​ หรือมาตรการจำกัดคนในพื้นที่ ​ซึ่งรวมทั้งการก่อสร้างภาครัฐและภาคเอกชน​ สำนักวิจัยฯ มองว่า เศรษฐกิจ​ไทย​ ปี​ 2565 จะดีกว่าปี ​2564​ อย่างน้อยคนไทยมากกว่า 70% ได้รับวัคซีนไปแล้ว​ และกำลังเดินหน้ารับเข็มกระตุ้นต่อเนื่อง​ อีกทั้งคนไทยได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับไวรัสนี้ได้ดีกว่าเดิม

โดยสรุป​ การระบาดของโอมิครอนน่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค​ ส่งผลให้การใช้จ่ายของประชาชนชะลอตัวชั่วคราวในช่วงปลายเดือนธันวาคมต่อเนื่องถึงเดือนมกราคม​ แต่หากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังต่ำกว่าระดับหนึ่งหมื่นรายต่อวัน​ การเกิดเวฟ 4 เช่นนี้ก็ไม่น่ากระทบเศรษฐกิจ​ไทย​รุนแรง​ และอาจเห็นการบริโภคเร่งขึ้นหลังความเชื่อมั่นฟื้น​ หรือเกิด ​pent-up demand โดยเฉพาะเมื่อคนไทยได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นกันอย่างทั่วถึง​ และยอดผู้ติดเชื้อลดลง​

ขณะที่การท่องเที่ยวจากต่างชาติอาจลดลงกว่าที่คาดบ้าง​ แต่ไม่ได้คาดหวังมากนักจากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศในช่วงไตรมาสแรก​ เพราะคาดว่านักท่องเที่ยวจะมามากกว่า 1 ล้านคนต่อไตรมาสในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป​ขณะที่จำนวนหลักแสนในช่วงไตรมาสแรกอาจลดลงบ้างก็ไม่น่ากระทบเศรษฐกิจ​ไทย​มาก​ ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ​จากมาตรการทางการคลังน่าจะพอพยุงกำลังซื้อได้​ และเม็ดเงินราว 3 แสนล้านบาทอาจหยิบมาใช้ได้ในช่วง​แรกของการระบาด​ และหากยืดเยื้อสามารถกู้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ​ได้​

ส่วนมาตรการทางการเงินน่าจะผ่อนคลายต่อเนื่องด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ ​0.50% ต่อปี​ และเร่งปล่อยซอฟต์โลนเพื่อเสริมสภาพคล่อง​ให้ธุรกิจ​ขนาดเล็กและผู้ได้รับ​ผลกระทบ​จาก​การ​ระบาด​รอบ​นี้​ โดยการส่งออกสินค้าน่าจะยังคงเป็นแรงพยุงเศรษฐกิจไทยได้ต่อเนื่อง​ อีกทั้งกำลังซื้อระดับกลาง-บนน่าจะยังแข็งแรงอยู่​ เพียงรอความเชื่อมั่นและแรงจูงใจให้ใช้จ่ายจากมาตรการรัฐ​ส่วนการท่องเที่ยวจากต่างชาติน่าจะยังเป็นตัวสนับสนุน​เศรษฐกิจ​ไทย​ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket